รวมรายชื่อรถจักรยานยนต์เปิดตัวในงาน Motor show 2024

HONDA

  • New Honda Giorno+ Donald Duck Special Edition

มาพร้อมคอนเซปต์แฟชั่นฤดูความดั๊กโดยนำคาแรกเตอร์ยอดฮิตตลอดกาลอย่างโดนัลด์ ดั๊กมานำเสนอความสนุกสนาน และความน่ารักสุดป่วน ผ่านลวดลายกราฟิกลงบน Honda Giorno+ อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยสีน้ำเงินเหลือง ที่เป็นคู่สีของโดนัลด์ ดั๊ก ลงตัวกับชุดครอบไฟหน้าสีเหลือง เพิ่มความโดดเด่นด้วย 3D Emblem และลายเซ็น ฉลองครบรอบ 90 ปี Donald Duck บ่งบอกความเป็นตำนานของคอลเลกชันนี้ที่ไม่มีใครเหมือน 

‘New Honda Giorno+ Donald Duck Special Edition’ ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น เปิดรับจองตั้งแต่ในงานนี้เป็นต้นไป ในราคาแนะนำ 67,900 บาท

  • New Honda DAX 1978 Special Edition

นำโมเดลยอดฮิตในยุค 90 มาคัสตอมใหม่ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครในคอนเซปต์ ‘DAX to 1978 The Time Traveler’ รถมินิไบค์ที่สะท้อนกลิ่นอายความคลาสสิกจากยุค 1978 โดดเด่นลวดลายกราฟิกแนวเรโทลลงบนเฟรมตัวถังทรง T-Bone เสริมความพรีเมียมด้วย Soft Emblem มาพร้อมชุดแต่ง Dax Rear Rack Stainless และบังโคลนหน้าโครเมี่ยม รวมถึงชุดขายึดไฟสะท้อนแสง จาก KITACO ผลิตจำนวนจำกัด ในราคาแนะนำ 94,900 บาท เปิดรับจองเฉพาะที่งานบางกอกมอเตอร์โชว์เท่านั้น

BMW Motorrad

  • BMW R 1300 GS 

มาพร้อมสมรรถนะที่เหนือไปอีกขั้นในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง เอนดูโร จากตระกูล GS กับการปรับโฉมใหม่เกือบทั้งหมด ด้วยการลดทอนน้ำหนักลงถึง 12 กิโลกรัม พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบวางเรียงระดับตำนานของตระกูล GS ที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดยิ่งกว่าที่เคย พร้อมความจุ 1,300 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 107 กิโลวัตต์ (145 แรงม้า) ที่ 7,750 รอบต่อนาที มอบแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ
ต่อนาที นับว่าเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยมีมา

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ ได้ปรับโฉมรถมอเตอร์ไซค์ในตระกูล GS แบบดั้งเดิม สู่สไตล์การออกแบบที่ปราดเปรียวยิ่งกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบถังเชื้อเพลิงอลูมิเนียมใหม่ให้แบนราบลง มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS พร้อมให้เหล่านักบิดจับจองเป็นเจ้าของได้ใน 3 เฉดสีสุดโดดเด่น ได้แก่ สีดำ Black Storm Metallic สุดเท่, สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง, และสีเขียวทองสุดหรูหราในเฉด Option 719 Aurelius Green Metallic

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี Triple Black

ราคาจำหน่าย: 1,125,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี GS Trophy

ราคาจำหน่าย: 1,125,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี Option 719

ราคาจำหน่าย: 1,205,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

  • BMW CE 02 

ราคาจำหน่าย: 479,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง มาในคอนเซ็ปท์ “eParkourer” (Pakour หรือ ปากัวร์ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เน้นการปีนป่ายข้ามอุปสรรคด้วยความรวดเร็ว) มอบความคล่องตัว ทรงพลังและความเร้าใจในการขับขี่แต่ละวัน พร้อมสัมผัสประสบการณ์สดใหม่ในการขับขี่ยนตรกรรมบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ ออกแบบเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในเมือง เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าที่แตกต่างจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มอบความคล่องตัว ความสะดวกสบาย ความทนทาน และความสนุกเร้าใจทุกการขับขี่ 

บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 48 โวลต์ ความจุ 1.96 กิโลวัตต์ชั่วโมง 2 ก้อน โดยแบตเตอรี่สามารถถอดได้ระหว่างการบำรุงรักษา สร้างกำลังได้สูงสุด
11
กิโลวัตต์ (15 แรงม้า) ส่งแรงบิดสูงสุด 55 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกลถึง 95 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 100% ในเวลา 210 นาที และชาร์จจาก 20% ถึง 80% ในเวลา 102 นาที ด้วยสายชาร์จแบบเร็วที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยให้กำลังไฟสูงถึง 1,500 วัตต์ บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ยังมาพร้อมกับ 2 รูปแบบการขับขี่คือโหมด “Flow” และ “Surf” โดยโหมด “Flow” เหมาะสำหรับการขับขี่ฝ่าการจราจรหนาแน่นในเมือง ในขณะที่โหมด “Surf” มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจเมื่อพ้นช่วงการจราจรที่พลุกพล่าน

Harley-Davidson

  • CVO Road Glide ST 

เป็นรถแบกเกอร์ที่แรงที่สุด เร็วที่สุด และทรงพลังมากที่สุดเท่าที่ Harley-Davidson เคยมีมา นำเสนอคอลเลกชันที่มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ โดดเด่นด้วยเบาะนั่งเดี่ยวลึกและบาร์ riser ขนาด 6 นิ้วจับคู่กับแฮนด์รถแบบ moto ช่วยปรับให้ผู้ขับขี่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่เท่และตรงตามสไตล์ West Coast แบบคัสตอม

รถมอเตอร์ไซค์รุ่น CVO Road Glide ST เพิ่มเติมด้วยฟีเจอร์หลักที่สำคัญ ชุดระบบอินโฟเทนเมนต์ Skyline™ OS และปรับโฉมหน้าจอแบบอะนาล็อกและสวิตช์ควบคุมใหม่ทั้งหมด ด้วยหน้าจอสัมผัสสีพร้อมขับขี่เร้าใจไปกับชุดเครื่องเสียง Harley-Davidson ประสิทธิภาพสูงสุดระดับพรีเมียมจาก Rockford Fosgate Stage II ขนาด 6.5 นิ้ว ส่งแรงกำลังด้วยแอมพลิฟายเออร์ RMS 500 วัตต์

ในปี 2023 รถมอเตอร์ไซค์รุ่น CVO™ Street Glide™ และ CVO Road Glide เปิดตัวพร้อมการปรับโฉมอันโดดเด่นสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ตระกูล Grand American Touring ของ Harley-Davidson มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight™ VVT 121 ด้วยความจุของเครื่องยนต์ 1,977 ซีซี และระบบกันสั่นสะเทือนที่ล้ำสมัย และชุดระบบอินโฟเทนเมนต์ Skyline OS โดยปี 2024 ฟีเจอร์เด่นเหล่านี้ถูกนำมาเสริมกำลังในรถมอเตอร์ไซค์ 2 รุ่นนี้ พร้อมด้วยตัวเลือกสีที่น่าดึงดูด

‘New Honda Giorno+ Donald Duck Special Edition’ ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น เปิดรับจองตั้งแต่ในงานนี้เป็นต้นไป ในราคาแนะนำ 67,900 บาท

  • Street Glide และรุ่น Road Glide ปี 2024

รถมอเตอร์ไซค์รุ่น Street Glide และ Road Glide ปี 2024 ที่ทรงพลัง สะดวกสบายในการขับขี่ รวมถึงน้ำหนักตัวรถเบาลงกว่าที่เคย มอบรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด ที่เชื่อมต่อทุกมิติของตัวรถอย่างลงตัวตั้งแต่บังโคลนหน้าไปจนถึงกระเป๋าด้านข้างตัวรถ โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับแฟริ่งโฉมใหม่ ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ที่ยังคงรักษา DNA การออกแบบของ Harley-Davidson ไว้อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง 2 รุ่นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight™ 117 ด้วยความจุของเครื่องยนต์ 1,923 ซีซี

ชุดอุปกรณ์เสริมสีดำพิเศษ สำหรับรถมอเตอร์ไซค์รุ่น Street Glide และรุ่น Road Glide โฉมใหม่ปี 2024 แสดงถึงความหลงในในการขับขี่ผ่านการคัสตอมตัวรถของเหล่านักขับขี่ โดยวางจำหน่ายในประเทศไทยเพียงจำหนวนหนึ่งเท่านั้น และจะได้รับใบรับรองการเป็นเจ้าของ

  • รุ่นพิเศษจากคอลเลคชัน Icons และ Enthusiast

การเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษ Icons Collection สี Hydra-Glide Revival ปี 2024 หรือรุ่นที่ 4 จาก Icons Collection ของ Harley-Davidson ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีของการคิดค้นระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบก้าน Hydra-Glide สำหรับรถมอเตอร์ไซค์รุ่น E และรุ่น F ในปี 1949 สำหรับรถมอเตอร์ไซค์สี Hydra-Glide Revival ปี 2024 มอบอิสรภาพและการผจญภัยของนักขับขี่ บนรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการดีไซน์แบบย้อนยุค พร้อมขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายและสัมผัสกับฟีเจอร์หลากหลายที่เร้าใจ

สำหรับรถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษ Icons Collection จะระบุหมายเลขประจำของแต่ละคันแยกออกไป และผลิตออกมาจำหน่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะเปิดตัวสี Hydra-Glide โฉมใหม่ ในจำนวนไม่เกิน 1,750 คันทั่วโลก

รถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษ Enthusiast Collection สี Tobacco Fade ประกอบไปด้วย รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson รุ่น Low Rider™ ST ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบ V-Twin ของรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลสปอร์ตทัวร์ริงสัญชาติอเมริกามอบให้นักขับขี่ที่หลงใหลในสไตล์ West Coast อย่างแท้จริง พร้อมระบบส่งกำลัง Milwaukee-Eight™ 117 แบบ V-Twin รถมอเตอร์ไซค์รุ่น Low Rider ST เชื่อมแนวคิดระหว่าง Harley-Davidson กับเหล่านักขับขี่ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วย รถมอเตอร์ไซค์รุ่น Ultra Limited™

รถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษจาก Enthusiast Collection ถูกรังสรรค์ออกมาเพื่อเชิดชูเหล่านักขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson จากเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและสืบทอดกันมาของพวกเขา รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson คอลเลกชันพิเศษนี้จะถูกผลิตออกมาจำนวนจำกัด ไม่เกิน 2,000 คันต่อรุ่น

KAWASAKI

  • Ninja 7 Hybrid

ถือเป็นรุ่นที่สามารถใช้งานในฐานะผู้สัญจรในเมืองที่ประหยัดเชื้อเพลิงและเข้าสู่พื้นที่ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษซึ่งยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ถูกจำกัด ทั้งหมดนี้ในขณะเดียวกันก็มอบความตื่นเต้นในการขับขี่ตามแบบฉบับของรถจักรยานยนต์คาวาซากิที่มีความอเนกประสงค์สูง Ninja 7 Hybrid เป็นรถรุ่นแรกในประเภทนี้ที่สร้างมาตรฐานให้กับรถจักรยานยนต์ HEV นำเสนอองค์ประกอบที่ดีที่สุดของทั้งรุ่น ICE และ EV ปฏิวัติวงการนี้ยิ่งใหญ่กว่าการรวมชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ด้วยการผสมผสานกันเป็นครั้งแรกของพละกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 451 cc สูบคู่อันแข็งแกร่ง ผสานเข้ากับมอเตอร์ขนาดกระทัดรัด เพื่อพละกำลังบิดที่แข็งแกร่งในช่วงต้นและกลาง ที่ให้อัตราเร่งเทียบเท่ารถซุปเปอร์สปอร์ตขนาด 1000 cc ด้วยโหมด e-boost อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันเทียบเท่าได้กับรถในคลาส 250 cc. 

นอกจากนี้ยังมีโหมดขับขี่และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกปรับตั้งให้เข้ากับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโหมดสปอร์ตไฮบริด, อีโคไฮบริด, และโหมดไฟฟ้าในระยะทางสั้นและความเร็วต่ำ และยังมีเกียร์ถอยหลังเพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่อีกด้วย ทั้งหมดนี้ นับเป็นนวัตกรรมและการออกแบบที่สื่อถึงอนาคต Ninja 7 Hybrid จึงพร้อมเป็นรถที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกใหม่ให้กับผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี การวางจำหน่ายยังไม่กำหนด

‘New Honda Giorno+ Donald Duck Special Edition’ ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น เปิดรับจองตั้งแต่ในงานนี้เป็นต้นไป ในราคาแนะนำ 67,900 บาท

  • Ninja e-1 

จากผู้ผลิตที่มีประวัติยาวนานในการผลิตรถจักรยานยนต์ออกแบบมาให้ขี่สนุกและควบคุมได้อย่างง่ายดาย รถจักรยานยนต์รุ่น EV ใหม่จากคาวาซากิ ตอบสนองวันสบายๆ สำหรับการเดินทางในเมืองจัดเป็นรถจักรยานยนต์ในคลาส 125cc ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ความสุขที่คาวาซากิส่งมอบและเปลี่ยนการเดินทางของคุณจากความน่าเบื่อหน่ายให้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณตั้งหน้าตั้งตารอสัมผัสกับนวัตกรรมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่จะมาจุดประกายยุคสมัยใหม่ แสดงถึงความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมของคาวาซากิ ในการใช้พลังงานที่สะอาดและเงียบ แต่ยังมีมอเตอร์ที่ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและกำลังรอบต่ำที่แข็งแกร่ง ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย และมีส่วนช่วยให้เร่งความเร็วได้อย่างรวดเร็วจากตำแหน่งหยุดรถ มอเตอร์ไม่ได้ผลิตความร้อนหรือแรงสั่นสะเทือนมากเท่ากับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน และไม่ปล่อยไอเสียออกมา (0 Emissions) สามารถสร้างความตื่นเต้นได้ด้วยฟังก์ชัน e-boost ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ระเบิดพลังในช่วงสั้นๆ เพื่อเร่งความเร็วขึ้นไปยังความเร็วสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการทำงานตามปกติ (ROAD) แล้วผู้ขับขี่อาจเลือกการทำงานแบบจำกัดความเร็ว (ECO) ได้ด้วยเช่นกัน ในส่วนนวัตกรรม WALK Mode ช่วยผู้ขับขี่เมื่อเคลื่อนที่ในลานจอดรถ และการชาร์จ (20% >>เวลาในการชาร์จ 85%) ประมาณ 1.6 ชั่วโมงสำหรับแบตเตอรี่แบบถอดได้คู่แต่ละตัว (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข) และมีตัวเลือกการชาร์จหลากหลายตัวเลือก ให้คุณได้สะดวกสบายที่สุดสำหรับในกิจวัตรประจำวัน การวางจำหน่ายยังไม่กำหนด

  • MEGURO S1 

ตั้งแต่ปี 1924 เป็นต้นมา แบรนด์ MEGURO เป็นที่รู้จักในด้านความจุกระบอกสูบขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพสูง และคุณภาพสูง และเป็นเป้าหมายของการชื่นชมในหมู่นักขี่ชาวญี่ปุ่นในขณะนั้น MEGURO S1 ได้ที่สืบทอดมรดกและความน่าเชื่อถือของแบรนด์คาวาซากิมาเป็นเวลากว่า 100 ปี ไม่เพียงแต่เป็นผู้สืบทอดของ Kawasaki 250 Meguro SG ที่เปิดตัวในปี 1964 เท่านั้นแต่ยังสืบสานสายเลือดของ “MEGURO Single” มาจากช่วงก่อนสงคราม นอกจากนี ยังใกล้เคียงกับความสัมพันธ์ระหว่างรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่าง “Meguro K3” และ “W800” มีถังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผสมผสานการชุบสีดำและโครเมี่ยมเข้าด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของ Meguro นอกจากนี้ยังมีตราสัญลักษณ์ S1 ที่หรูหราโดดเด่น การวางจำหน่ายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

  • KLX230 SE ปี 2024 

คาวาซากิเปิดตัวซีรีส์ KLX230 ใหม่พร้อมคุณสมบัติที่ได้รับการปรับปรุงโดยมีเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น โดยหัวใจหลักคือเครื่องยนต์ 4 จังหวะแบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาด 233 ซีซี ให้การตอบสนองในช่วงต่ำถึงกลางได้รับการปรับปรุง เพื่อสมรรถนะทางออฟโรดที่ดียิ่งขึ้น แต่การอัปเดตใหม่ที่สำคัญเกิดขึ้นกับแชสซี ซับเฟรมด้านหลังที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ช่วยให้ล้อสามารถเคลื่อนได้ไกลขึ้นและยูรีเทนเบาะนั่งที่หนาขึ้น ในขณะที่รักษาระยะห่างจากพื้น ความสูงของเบาะนั่งสามารถลดลงได้เพื่อให้เอื้อมถึงพื้นได้อย่างสบาย สิ่งนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพและความสะดวกสบายในการขับขี่แบบออฟโรดอย่างมากทั้งบนถนนและออฟโรด เนื่องจากการเคลื่อนที่ของล้อที่มากขึ้นมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการขี่บนเส้นทางวิบาก เช่นเดียวกับการดูดซับแรงกระแทกบนทางเท้าที่ไม่เรียบ ในทุกรุ่น ABS แบบอเนกประสงค์ที่ได้รับการปรับปรุงช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปิดการใช้งาน ABS ทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ตามความต้องการเมื่อขับขี่แบบออฟโรด สไตล์ที่ปรับปรุงใหม่และคุณสมบัติใหม่ เช่น การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ทำให้ KLX230 ใหม่เป็นพันธมิตรที่มีความสามารถมากขึ้นในการขับขี่ที่สนุกสนาน ไม่ว่าเส้นทางต่อไปจะพาไปที่ไหนก็ตาม การวางจำหน่ายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

FELO และ RAPID 

  • FELO TOOZ (เฟโล่ ทูซ) 

นวัตกรรมที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงในสไตล์ Touring อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ พร้อมฟังก์ชันที่ให้ความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง ขับขี่ได้ไกลถึง 720 กิโลเมตรต่อการชาร์จ และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบ TYPE2 สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 20% ถึง 80% ภายในเวลา 20 นาที หน้าจอแสดงผล TFT ที่มีขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้ว พร้อมติดตั้งระบบนำทาง Navigator และยังรองรับการเชื่อมต่อแอปพิเคชันมัลติมีเดียได้มากมาย พร้อมระบบ TPMS (ทีพีเอ็มเอส) เสริมความปลอดภัยกับระบบเบรก ABS ทำงานร่วมกับระบบแทร็คชั่นคอนโทรล กล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา ระบบลำโพงรอบทิศทาง 6 แชลแนล ติดตั้งกล่องทำความเย็นขนาด 8 ลิตรที่ดีไซน์มากับตัวรถ ตัวรถยังมีเทคโนโลยี V2L (วีทูแอล) ที่สามารถใช้แบตเตอรี่เพื่อจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อีก การออกแบบในทุกมิติได้อย่างสมบูรณ์ และนี่คือเทคโนโลยีขั้นสูงจาก FELO TOOZ (ทูซ)

  • RAPID K-1988 

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง มอเตอร์ที่สามารถรีดพลังการขับเคลื่อนสูงสุดถึง 15 กิโลวัตต์ ขับขี่ได้ไกลถึง 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จ และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังแบบ Single sided swingarm ให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนที่ดีด้วยน้ำหนักที่เบา ความปลอดภัยกับระบบเบรก ABS ทำงานร่วมกับระบบแทร็คชั่นคอนโทรล รองรับการชาร์จแบบ TYPE2 ที่สามารถชาร์จเต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมง ดีไซน์ที่โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แหละนี่คือจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยที่สุด RAPID K-1988 (เคหนึ่งเก้าแปดแปด)

  • รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ FELO จำนวน 4 รุ่น

FELO FW07 ราคาที่จำหน่าย 168,900 บาท สำหรับ FW07 รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็วแรงเป็นพิเศษ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสายพันธุ์แชมป์ที่ได้รับการถ่ายทอด DNA จากสนามแข่ง รูปลักษณ์แบบสปอร์ตแบตเตอรี่จัดเต็มถึง 96V58Ah กำลังมอเตอร์ขนาด 6,000 วัตต์ ให้แรงบิดกว่า 336 นิวตันเมตร และยังขับขี่ได้ไกลสูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จ ทำความเร็วสูงสุด125 กิโลเมตร/ชั่วโมง โครงสร้างตัวถังแบบใหม่ CTC และรองรับการชาร์จแบบ Type2 ระบบความปลอดภัยแบบ ABS และ Traction control หน้าจอ TFT มาพร้อมระบบ Keyless เพิ่มความสบายในการขับขี่ด้วย Reverse gear 

FELO FW03 ราคาที่จำหน่าย 139,000 บาท สำหรับ FW03 เป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ลุยทุกเส้นทางที่ท้าทาย ด้วยแบตเตอรี่ 72V58Ah กำลังมอเตอร์ขนาด 3,000 วัตต์ โครงสร้างแบบ CTC ขับขี่ได้ไกล 120 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมระบบ Keyless หน้าจอ TFT เพิ่มความสบายในการขับขี่ด้วย Reverse gear

FELO FW03 SIC58 Limited Edition ราคาที่จำหน่าย 139,000 บาท สำหรับ FW03 SIC58ดีไซน์ลวดลายที่ออกแบบมาเพื่อให้เชื่อมต่อกับนักแข่ง  MARCO SIMONCELLI  (มารโค ซิมอนเชลลี) โดยลายจุดเสือดาวที่อยู่บนตัวรถเป็นสัญลักษณ์ของความเร็วและความคล่องตัว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในสไตล์มินิมอลที่สะดุดตา มีจำนวนจำกัดเพียง 580 คันทั่วโลกเท่านั้น!

FELO M1 ราคาที่จำหน่าย 59,000 บาท สำหรับ M1 รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่ถือว่าเป็น Gadget สุดล้ำ ที่ผสมผสานระหว่างการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เข้ากับฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ด้วยโครงสร้างหลักที่ทำจากอลูมิเนียม และมีน้ำหนักเบาเพียง 45 กิโลกรัม รองรับการชาร์จแบบ Type2 แบตเตอรี่ 48V20Ah กำลังมอเตอร์ขนาด 700 วัตต์ ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันพิเศษ ระบบ Inverter ที่แปลงกระแสไฟจากแบตเตอรี่ เป็นกระแสไฟฟ้า AC แรงดันไฟฟ้า 220V สามารถรองรับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าได้สูงสุด 1,000 วัตต์

  • รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ RAPID จำนวน 3 รุ่น

RAPID SR09 ราคาที่จำหน่าย 66,740 บาท (จาก 86,000 บาท) ในการเข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สำหรับ SR09 เป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทันสมัย พร้อมให้คุณสนุกไปกับการขับขี่ในทุก ๆ เส้นทาง ไม่ว่าการขับขี่คนเดียวหรือการเดินทางสำหรับครอบครัว ด้วยแบตเตอรี่ 72V24Ah จำนวน 2 ลูก กำลังมอเตอร์ขนาด 4,000 วัตต์ ขับขี่ได้ไกลระยะทาง 100 กิโลเมตร (ความเร็วที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง) และทำความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รองรับ USB-C และ USB-A Charging Socket หน้าจอ LED ให้ความสว่างชัดเจนตลอดการเดินทาง

RAPID SR108 ราคาที่จำหน่าย 60,240 บาท (จาก 79,500 บาท) ในการเข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สำหรับ SR018 รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาในสไตล์คลาสสิก สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างคุ้มค่าหลากหลายกิจกรรม แบตเตอรี่ 72V24Ah จำนวน 2 ลูก กำลังมอเตอร์ขนาด 3,500 วัตต์ เหมาะสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ทั่วไป ด้านหลังมีเบาะเสริม และแร็คท้ายที่สามารถเพิ่มกล่องบรรทุกสัมภาระได้ ขับขี่ได้ไกลระยะทาง 100 กิโลเมตร (ความเร็วที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง) และทำความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รองรับ USB-A Charging Socket และ 10 Ah Charger หน้าจอ LED ให้ความสว่างชัดเจน

RAPID SR208 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารูปแบบ Big Scooter รูปทรงขนาดใหญ่ เบาะที่นั่งที่สะดวกสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อน ทั้งยัง สามารถเพิ่มกล่องบรรทุกสัมภาระได้อีก และสำหรับ SR208 จะนำเสนอเข้าสู่ตลาดเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน

ROYAL ENFIELD

  • All New Himalayan 

All New Himalayan มีกำลังและแรงบิดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ให้แรงบิดรอบต่ำที่ยอดเยี่ยม และยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Royal Enfield ด้วยกำลังสูงสุด 40.02 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 40 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ Sherpa ขนาด 452 ซีซี ใหม่ สร้างแรงบิดสูงถึง 90% ของแรงบิดตั้งแต่ 3,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป ไม่จำเป็นที่ต้องลากรอบให้สูงเพื่อเรียกกำลัง เพราะพละกำลังนั้นมาในช่วงรอบต่ำ ลักษณะนี้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อปีนขึ้นไปบนทางลาดชันที่ลื่น ช่วยให้ล้อสามารถหาจุดยึดเกาะได้ไม่ยากและถ้าเทียบกับเครื่องที่ไม่ได้แรงบิดรอบต้น ล้ออาจจะลื่นและเสียการควบคุม นอกจากนี้ แรงบิดที่สูงยังช่วยให้การขับขี่ขับได้ง่ายติดตั้งหม้อน้ำระบายความร้อนและปั๊มน้ำ การระบายความร้อนแบบสองทางช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการขับขี่ในเส้นทางที่ค่อนข้างวิบากเกียร์แบบ6สปีดใหม่ระบบSliperClutchทำให้การทำงานของคลัตช์นิ่มลงและช่วยให้อายุการใช้งานของคลัตช์ยาวนานขึ้น

เฟรมใหม่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ทำให้ประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการเข้าโค้งดีขึ้นอย่างชัดเจน โช้คหัวกลับของ Showa ใหม่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาพต่างๆ ตั้งแต่ถนนเรียบไปจนถึงก้นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหิน All New Himalayan ยังคงใช้ชุดล้อหน้า 21 นิ้ว  และล้อหลัง 17 นิ้ว ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพมาจากรุ่นเดิม 

หน้าจอสีตัวใหม่ รูปทรงกลมแบบคลาสสิก แต่มีคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมมากมายสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมตัวเลือกในการเปลี่ยนจากการแสดงผลแบบอะนาล็อกดั้งเดิมเป็นรูปแบบดิจิทัล TripperDash ช่วยให้คุณควบคุมฟังก์ชัน เพลง การโทร และข้อความ ได้โดยไม่ต้องละสายตาเพื่นค้นหา เครื่องมือสื่อสารและนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อมือถือ ผู้ขับขี่สามารถเลือกระหว่างโหมดการขับขี่ Performance และ Eco การตอบสนองของคันเร่งจะเปลี่ยนด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้าแบบใหม่ ABS ด้านหลังสามารถปิดการใช้งานได้เพื่อประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโรดที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น

 

STROM

  • STROM  APE 𝘼𝙋-400𝙇  

พาคุณมุ่งทยานไปกับทุกเส้นทางสายสปอร์ต  ในราคาเริ่มต้น 94,800 บาท ในสมรรถนะที่ตอบโจทย์ในการเดินทางระยะไกลที่ราคาเข้าถึงได้ เป็นรุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักขับขี่ที่ต้องการความเร็วและประสบการณ์ขับขี่ที่แตกต่างจากเดิม

ด้วยกำลังมอเตอร์ขนาดใหญ่ถึง 4000W และความเร็วสูงสุดที่ถึง 150 km/h APE 𝘼𝙋-400𝙇 จึงเป็นตัวแทนของความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างเร็วและแรงในยุคดิจิทัล แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดคือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สุดถึง 72V160Ah ซึ่งสามารถทำให้รถทะลุได้ถึงระยะทางสูงสุดถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เพียงแค่ 3.5 ชั่วโมงด้วยระบบชาร์จเร็ว นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการอัพเกรดกำลังมอเตอร์ได้ถึง 5000W มาพร้อมสามสีที่ลงตัว Galaxy Blue, White Pearl และ Monsoon Grey

  • All-New Panther V2

มาพร้อม แบตเตอรี่ ลิเที่ยม 72V40Ah NMC แบบ LLC ล้อ 16” นิ้ว รถสามารถอัพเกรดเป็น 5000W ได้ ความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 km./h. มาพร้อมระบบป้องกันการโจรกรรมรถ โดยส่งสัญญาณเตือนไปที่ศูนย์ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบติดตามรถ Vehicle Tracking System ผ่อนคลาย สบายใจ หายห่วง

มี 3 สี ให้คุณเลือก Solid White, Jet Black และ Graphite Grey ในราคาเริ่มต้น 99,900 บาท

  • SEAL V3  

มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 100 จดทะเบียนได้ รุ่น Seal V3 ตอบโจทย์การใช้งานที่อเนกประสงค์ มอเตอร์แรง 1000W ฟรี! อัพเกรดเป็น 1500W ความเร็วสูงสุดถึง 70km./h. ทนทานการใช้งานด้วยระบบ G Control V3 แบตเตอรี่ลิเธียม NMC แบบ LLC ใช้งานได้นานถึง 5 ปี มีหลายขนาดให้เลือกวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 100 km ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มั่นใจประกันแบตเตอรี่ระเบิดจ่าย 100,000 บาท 

มีให้เลือกแบตเตอรี่ทั้งแบบติดกับรถ และแบบถอดชาร์จภายนอกได้ สามารถยกออกจากตัวรถไปชาร์จไฟบ้านปกติ อัพเกรดล้อหน้า 12” เพื่อรับแรงกระแทกได้มากกว่า

มี 3 สีให้คุณเลือก คือ White Perl-Ruby Red, White Pearl-Limited Orange และ White Pearl-Electric Blue ในราคาเริ่มต้น 38,900 บาท

TRIUMPH

  • Rocket 3

ร็อกเก็ต 3 สตรอม อาร์” (Rocket 3 Storm R) และร็อกเก็ต 3 สตรอม จีที” (Rocket 3 Storm GT) สุดยอดรถโรสเตอร์เจเนอเรชันใหม่ ที่มาพร้อมสไตล์โฉบเฉี่ยวสะดุดตาที่จะมอบประสบการณ์ในการขับขี่อันน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในสายพานการผลิตด้วยขนาดความจุเครื่องยนต์ 2,458 ซีซี มอบกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 15 แรงม้า ทำให้พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 182 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อวินาที 

โดยรถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ Rocket 3 Strom ทั้ง 2 รุ่น ยังมาพร้อมสีดำเคลือบอโนไดซ์คุณภาพสูงรอบคัน และคุณภาพของรายละเอียดในระดับที่ไร้ที่ติ โดยแต่ละรุ่นมีตัวเลือกสีทูโทนที่แตกต่างกัน 3 รูปแบบ โดยรุ่น Rocket 3 Storm R ราคา 1,049,000 บาท มีสี Carnival Red/Sapphire Black สี Satin Pacific Blue/Matt Sapphire Black และสี Sapphire Black/Granite ในขณะที่รุ่น Rocket 3 Storm GT ราคา 1,079,000 บาท มีจำหน่ายในสีเดียวกัน โดยแตกต่างกันด้วยการสลับด้านของสี พร้อมรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 16,000 กิโลเมตร ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา 2 ปี

  • Tiger 900

ไทเกอร์ 900 จีที โปร” (Tiger 900 GT Pro) และไทเกอร์ 900 แรลลี่ โปร” (Tiger 900 Rally Pro) ที่ได้อัปเกรดเครื่องยนต์สามสูบใหม่ขนาด 900 ซีซี อย่างมีนัยสำคัญ ให้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 13% โดยให้พละกำลังสูงสุด 108 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่สูงขึ้น 90 นิวตันเมตร ในขณะที่คุณสมบัติด้านความปลอดภัยแบบแอคทีฟใหม่ทั้งหมดเพื่อสมรรถนะสูงสุดบนถนน และทางออฟโรด อาทิ เบรก Brembo Stylema® Monobloc ซึ่งรุ่น Tiger 900 GT Pro มาพร้อมโช้คหัวกลับ Marzocchi ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ พร้อมโช้คหลังที่ปรับ Preload และ Rebound ได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 180 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 170 มม. ส่วนรุ่น Tiger 900 Rally Pro มาพร้อมโช้คหัวกลับ Showa ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ทั้ง Preload, Rebound และ Compression โดยโช้คหลังสามารถปรับ Preload และ Rebound ได้ ระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 240 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 230 มม. อีกทั้ง 2 รุ่นยังมีเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ อาทิ ระบบ Optimised cornering ABS และ Traction Control ที่มาพร้อมระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS) ระบบตรวจจับแรงเฉื่อย IMU (Inertial Measurement Unit) และระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ของไทรอัมพ์ Triumph Shift  Assist เป็นมาตรฐาน โดยรุ่น Tiger 900 GT Pro มีโหมดขับขี่ทั้งหมด 5 โหมดได้แก่ Road, Rain, Sport และ Off-Road รวมถึง Rider configurable ด้านรุ่น Tiger 900 Rally Pro มีโหมดขับขี่ 6 โหมด โดยมีโหมด Off-Road Pro เพิ่มเติมเข้ามา

ทั้งนี้ Tiger 900 ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมความคุ้มค่าด้วยการรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 10,000 กิโลเมตร หรือ 12 เดือน ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา 2 ปี  โดย Tiger 900 GT Pro ราคา 639,000 บาท มีจำหน่ายในสี Snowdonia White เป็นสีมาตรฐาน โดยมีตัวเลือกสีระดับพรีเมียมให้เลือก 2 สี ได้แก่ Graphite/Sapphire Black และ Carnival Red/Sapphire Black ด้านรุ่น Tiger 900 Rally Pro ราคา 659,000 บาท มีจำหน่ายในสี Carbon Black/Sapphire Black พร้อมตัวเลือกสี Ash Grey/Intense Orange สุดโดดเด่น หรือจะเป็นสี Matt Khaki Green/Matt Phantom Black

  • Daytona 660

เดย์โทน่า 660” (Daytona 660) รถจักรยานยนต์สปอร์ตขนาดกลางที่ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งเพื่อผู้ขับขี่รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์สามสูบใหม่ล่าสุดขนาด 660 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 11,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตร ที่ 8,250 รอบต่อนาที พร้อมชุดเกียร์ 6 สปีด เสริมด้วยท่อไอเสียใหม่ ซึ่งมีส่วนหัวแบบ 3 ออก 1 และท่อเก็บเสียงด้านล่างขนาดกะทัดรัด พร้อมส่วนปิดท้ายจากสเตนเลสสตีล ทำให้ส่งมอบเสียงสไตล์สปอร์ตอันทรงพลัง ด้านอุปกรณ์สเปคระดับสูงอัดแน่น มาพร้อมโช้คหัวกลับลูกสูบขนาดใหญ่ของ Showa ขนาด 41 มม. และโช้คหลัง RSU แบบโมโนช็อคของ Showa รองรับการปรับตั้งค่าพรีโหลด เบรกเรเดียลสี่ลูกสูบพร้อมดิสก์เบรกคู่ขนาด 310 มม. พร้อมสายเบรกแบบถัก จับคู่กับยาง Michelin Power 6 ใหม่ล่าสุดที่ติดตั้งเป็นยางมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในการขับขี่ทั้งบนถนนเปียกและแห้ง อีกทั้งเทคโนโลยีที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่และความปลอดภัย ด้วยคันเร่งไฟฟ้าที่ให้การตอบสนองของคันเร่งที่คมชัดและแม่นยำ อีกทั้งยังมีโหมดการขี่ 3 โหมด ได้แก่ Sport, Road และ Rain ซึ่งปรับการตอบสนองของปีกผีเสื้อ ไปจนถึงการตั้งค่าระบบควบคุมการยึดเกาะถนนให้เหมาะสมกับสภาวะต่าง ๆ

   ทั้งนี้ Daytona 660 พร้อมให้ทุกคนจับจองเป็นเจ้าของในราคา 327,300 บาท มาพร้อม 3 สีสันให้เลือก ได้แก่ สี Satin Granite/Satin Jet Black, สี Carnival Red/Sapphire Black และสี Snowdonia White/Sapphire Black  พร้อมกันนี้ยังพบข้อเสนอสุดพิเศษ เมื่อออกรถ เดย์โทน่า 660 พร้อมชุดแต่งแท้จากไทรอัมพ์ที่มีให้เลือก 3 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ ชุดแต่ง All-New Daytona 660 Pro+ ออกรถพร้อมติดตั้ง Triumph Shift Assist Kit ในราคาพิเศษเพียง 340,800 บาท ต่อด้วย ชุดแต่ง All-New Daytona 660 Touring+ ที่จะได้รับ Sports Tank Bag, Tail Pack, Tank Pad, Triumph Shift Assist Kit, Comfort Seat หรือ Low Seat ในราคาพิเศษเพียง 364,800 บาท และชุดแต่ง All-New Daytona 660 Sport+ ที่จะได้รับ Seat Cowl, Frame Protection, Tank Pad, Engine Cover Protection, Triumph Shift Assist, Scrolling LEDIndicators (Front & Rear) ทั้งหมดนี้ในราคาพิเศษเพียง 364,800 บาท

YAMAHA

  • NEW YAMAHA MT-09SP สุดยอดเครื่องยนต์แบบ CP3 Hyper Naked ขนาด 890 ซีซี ที่ปลุกเร้าความตื่นเต้นอย่างแท้จริง ด้วยสเปคระดับพรีเมียมที่ให้การควบคุม และความแม่นยำระดับ SuperSport มาพร้อมสีใหม่ Icon Performance พร้อมให้เป็นเจ้าของในราคาแนะนำที่ 489,000 บาท  และนอกจากนี้ ยังมี NEW YAMAHA MT-09 เพิ่มสมรรถนะของ Hyper Naked พร้อมการควบคุมที่เฉียบคม เครื่องยนต์สามสูบ 890 ซีซี อันเร้าใจ เทคโนโลยีชั้นนำของคลาส และรูปลักษณ์ใหม่สุดขั้ว พร้อมเปิดให้จองในงานราคาแนะนำที่ 447,000 บาท
  • NEW YAMAHA EXCITER155 แรงเข้าเส้น…Xciting Blood เครื่องยนต์ 155 ซีซี VVA ดีไซน์แฟริ่งใหม่ และเบาะนั่ง Double Super Sports โฉบเฉี่ยวเร้าใจ สะท้อน R-DNA สายพันธุ์สปอร์ต มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ทุกจังหวะหัวใจ เต้นรัวไปกับความแรง ด้วยระบบเบรกหน้า ABS ช่วยป้องกันการล้อล็อค สะดวกสบายมากขึ้นกับระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ และ DC Charging Socket ที่ให้ไม่พลาดทุกการติดต่อ เต็มที่กับทุกเส้นทาง มาพร้อม 3 สีใหม่ สีเทา-น้ำเงิน, สีดำ และสีน้ำเงิน เป็นเจ้าของ NEW YAMAHA EXCITER155 ได้ในราคาแนะนำที่ 79,500 บาท
  • ALL NEW YAMAHA PG-1…Playful Custom Limited Edition ที่มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน กับ 2 คอนเซ็ปต์ ให้ทุกคนได้สนุกในสไตล์ที่แตกต่าง คอนเซ็ปต์ Dusty Tracker สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสายลุย และคอนเซ็ปต์ Escape Camper สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 400 คัน เท่านั้นพร้อมกับราคาแนะนำที่ 73,500 บาท
  • YAMAHA FAZZIO ที่ได้ Collab กับแบรนด์แฟชั่นยอดนิยมระดับโลกอย่าง FILA มาร่วมออกแบบ และดีไซน์อัพลุคพิเศษ ให้ YAMAHA FAZZIO x FILA โดดเด่นด้วยสีสัน และกราฟิกสไตล์ FILA แบรนด์แฟชั่นของคน Gen Fazz สนุก พร้อมรับหมวกกันน็อก เสื้อแจ็กเก็ด และชุดแต่งคอลเล็กชั่นพิเศษสุดเท่ Fazzio x FILA Collection สุด Limited เพียง 2,500 คัน เท่านั้น เป็นเจ้าของ YAMAHA FAZZIO ได้ในราคาแนะนำ 62,900 บาท
  • YAMAHA YG-1 ซึ่งถือเป็นรถจักรยานยนต์รุ่นแรก ที่จำหน่ายในประเทศไทย มาจัดแสดงในโซน 60th Anniversary 
  • FINO FINAL EDITION Emblem Number 001 คันเดียวในโลกที่ให้ทุกท่านมาร่วมประมูลเริ่มต้นที่ราคา 50,900 บาท เพื่อนำรายได้จากการประมูลสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนาฯ 

ZEEHO

  • ZEEHO C!TY SPORT 

รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวสไตล์โร้ดสเตอร์ ไฟหน้า LED ผสมผสานเทคโนโลยียนตรกรรมระดับโลก ไฟท้ายดิจิทัลแบบเส้นแนวตั้ง สไตล์ MINIMALISM เพื่อวิสัยทัศน์ที่แจ่มชัดในทุกสภาพการขับขี่ แบตเตอรี่ลิเธียมขนาด 60V32Ah ประสิทธิภาพสูงวิ่งได้ระยะทาง 80 กม. มาพร้อมที่ชาร์จ 700 วัตต์ ในราคาพิเศษ 88,000 บาท (ราคาปกติ 95,000 บาท) รับของสมนาคุณ เช่น แจ็คเก็ต กระเป๋าเป้ลายหมี พวงกุญแจ รวมมูลค่า 10,280 บาท ฟรี พรบ. และค่าจดทะเบียน

  • ZEEHO AE2 

กะทัดรัด คล่องตัว มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียม ขนาด 48V24Ah ให้ประสิทธิภาพสูง วิ่งได้ระยะทาง 80 กม. ต่อหนึ่งการชาร์จ เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะใกล้ โดดเด่นด้วยดีไซน์น่ารักสะดุดตา สีสันสดใส มีให้เลือก 5 เฉดสี ได้แก่ เทา เขียว ขาว ส้ม ซิลเวอร์ ในราคาพิเศษ 32,000 บาท (ราคาปกติ 35,000 บาท) รับของสมนาคุณ เช่น หมวก พวงกุญแจ รวมมูลค่า 6,380 บาท

SUZUKI

  • All New Burgman Street EX 

รถจักรยานยนต์ Scooter ระดับ First Class ด้วยเครื่องยนต์ 125 ซีซี ฟังก์ชั่นครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ เหนือชั้น และเทคโนโลยีล้ำสมัย สะดวก มั่นใจ เครื่องยนต์ (SEP-α) ขนาด 125 ซีซี แบบ 2 วาล์ว พร้อมระบบหัวฉีดขั้นสูงจาก ซูซูกิ ทำให้เครื่องยนต์มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา เพื่อลดการสูญเสียพลังงานเชิงกล และลดแรงเสียดทาน แต่ยังคงความแข็งแรง ทนทานตลอดการใช้งาน ประหยัดน้ำมัน (52.6 km/L)-Engine Auto Stop-Start (EASS)-The Silent Starter System

เบรกสั้น มั่นใจ ด้วยระบบ Combined Brake ไฟหน้าหลัง แบบ LED เรือนไมล์แบบ full LCD กล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า 2 ช่อง พร้อมพอร์ต USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ

All New Burgman Street EX มี 3 สีดำ เทา และ 🤍สีขาว 

Burgman Street EX : 69,900 บาท 

Burgman Street GL : 74,900 บาท

  • The New GSX-8R 

“The New Standard of Sport”

Suzuki เปิดตัวรถจักรยานยนต์ BigBike สายพันธุ์สปอร์ต ในพิกัด 800 ซีซี ที่มาพร้อมเทคโนโลยีจัดเต็มและสมรรถนะที่น่าทึ่ง การขับขี่ที่เร้าใจ เพิ่มความมันให้ถึงขีดสุด ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หล่อเท่ เข้มสุดใจThe New GSX-8R 

เครื่องยนต์ขนาด 776 ซีซี แบบ Parallel Twin พร้อมระบบ Clutch Assist System หน้าจอสี TFT LCD Multi-Function และใส่ระบบจัดเต็มอย่าง Suzuki Intelligent Ride System (S.I.R.S.) -The Bi-directional Quick Shift แบบขึ้นและลง 2 ทิศทาง เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวล 

-Suzuki’s Ride-by-wire Electronic Throttle System คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองทุกการบิดได้เร็วและแม่นยำ -The Suzuki Traction Control System ระบบความปลอดภัยที่เราใส่ใจเพื่อป้องกันการลื่น และตรวจจับการหมุนของล้อหน้าหลัง

กับราคาพิเศษ (เพียง 30 คันแรก)ในงาน Motor Show 2024

389,000.- (จากปกติ 419,000.-)